เจ้าของธุรกิจหลายท่านยังมีความกลัว และกังวลกับการลงทุนเพื่อทำ โฆษณา Google Ads กลัวว่าผลลัพธ์ที่ได้จะไม่คุ้มค่ากับเงินที่ใช้ลงทุนไป จนไม่กล้าคิดที่จะเริ่มทำการตลาดอย่างจริงจัง แต่ผมขอบอกไว้เลยว่า การทำ โฆษณา Google Ads มันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด คุณไม่จำเป็นต้องกลัวว่าจะต้องเสียเงินมากมาย เป็นหมื่น เป็นแสน ไปกับการลงทุน
เพราะมันไม่มีการกำหนดงบประมาณขั้นต่ำ!
และในบทความนี้ ผมจะทำให้คุณได้รู้ว่า เงินลงทุนเพียงน้อยนิดก็สามารถสร้างผลลัพธ์ที่ดีให้กับธุรกิจได้เหมือนกัน!
Table of contents
1. กำหนดงบประมาณเท่าที่จ่ายได้
ก่อนที่เราจะเริ่มต้นสร้างแคมเปญ ผมอยากให้คุณลองสำรวจตัวเองดูก่อนว่า คุณสามารถตั้งงบประมาณขั้นต่ำต่อวันได้มากเท่าไหร่ เอาตามที่สามารถจ่ายได้นะครับ อาจจะลองคิดเป็นเดือนก่อน แล้วหารด้วยจำนวนวันก็ได้
เช่น ผมกำหนดไว้ที่ 6,000 ต่อเดือน ก็จะตกอยู่ที่ วันละ 200 บาท
(การใช้งบประมาณ และผลลัพธ์ที่ได้ จะแตกต่างไปตามประเภทของธุรกิจ บางธุรกิจทุน 200 บาทก็อาจไม่พอนะครับ)
เมื่อคุณตั้งงบประมาณเรียบร้อยแล้ว เรามาลองให้ Google Ads ประเมินกันครับว่า งบประมาณที่คุณตั้งเอาไว้ จะได้ผลลัพธ์จากการทำโฆษณาเป็นอย่างไรบ้าง หากยังไม่พอใจคุณอาจเพิ่มงบเข้าไปอีกเพื่อให้ผลลัพธ์ดีขึ้น
วิธีประเมิน ให้คุณเปิด Keyword Planner ขึ้นมาแล้วใส่ Keyword ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ หรือเว็บไซต์ของคุณลงไป
เราก็จะได้ผลลัพธ์ที่ Google คาดการณ์มาให้ จะเห็นว่ามีคนคลิกเข้ามาที่เว็บไซต์ของเราประมาณกี่คลิกใน 1 เดือน เมื่อใช้งบ 6,000 บาท
2. ใช้ Keyword ที่เฉพาะเจาะจง
เดิมทีการทำโฆษณา Google Ads เราจะเลือก Keyword ที่ตรงกับธุรกิจ และเป็นคำที่มีจำนวนการค้นหาสูง หลายๆ คำ เพื่อดึงลูกค้าเข้าเว็บไซต์ให้มากที่สุด นั่นคือแคมเปญแบบปกติทั่วไป
แต่สำหรับแคมเปญที่ใช้งบน้อย การเลือก Keyword จะแตกต่างจากแคมเปญโฆษณาทั่วไป เพราะงบประมาณที่จำกัดนี้ การใช้ Keyword มากๆ จะทำให้เราเสียเงินไปอย่างรวดเร็ว! (ยังไม่ทันได้ขาย ค่าโฆษณาก็หมดแล้ว)
หากคุณต้องการทำโฆษณางบน้อยๆ ให้มีประสิทธิภาพ คุณต้องเลือกใช้ Keyword ที่คุ้มค่ากับธุรกิจของคุณให้มากที่สุด
การหา Keyword ให้คุณไปที่ Keyword Planner แล้วเลือก Discover new keywords
จากนั้นให้คุณใส่ Keyword ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณลงไป แล้ว GET RESULTS!
เมื่อเข้ามาคุณจะเห็น Keyword ที่ Google แนะนำมาให้ พร้อมบอกจำนวนการค้นหาเฉลี่ยในแต่ละเดือน การแข่งขัน และราคาคลิกของแต่ละ Keyword
ให้เราหา Keyword ที่มีการแข่งขันต่ำ ราคาคลิกถูก และตรงกับเป้าหมายของเรามา 1 Keyword เพราะการที่เราเลือกหลายคำ จะทำให้ผลลัพธ์ที่เราได้ น้อยลงไปด้วย
3. สร้าง Ad Group สำหรับ 1 Keyword
เมื่อคุณได้ Keyword ที่ต้องการแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือการสร้าง Ad Grop สำหรับ 1 Keyword ของเรา
การใส่ Keyword ใน Ad Group นี้จะโฟกัสไปที่การใช้ Keyword เพียง 1 คำ เท่านั้น! พร้อมกำหนดรูปแบบการทำงานของ Keyword
- Broad match modifier : +Keyword
- Phrase match : “Keyword”
- Exact match : [Keyword]
การทำ 1 Ad Group 1 Keyword จะช่วยให้คุณเขียนคำโฆษณาได้ง่ายขึ้น..
ทำไมเราต้องใส่ Keyword ลงใน Ad Text ?
คำตอบคือ เพื่อเพิ่มคะแนนคุณภาพ (Quality Score)
เพราะ Quality Score เป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่คอยกำหนดว่า โฆษณาของเราจะอยู่ในอันดับที่เท่าไหร่ และแสดงบ่อยแค่ไหน
ที่สำคัญ การทำ Quality Score ให้สูงขึ้นยังทำให้ค่าคลิกของเราถูกลงอีกด้วย!
แล้วเราจะทำให้ Quality Score สูงขึ้นได้ยังไง?
- ใช้ Keyword และ Message ที่มีเกี่ยวข้องกัน ทั้งใน Ad Group, Ad Text และ Landing Page
- ปรับแต่ง Ad Text ให้มีความน่าสนใจ ตรงกลุ่มเป้าหมาย Ad Text ที่มีประสิทธิภาพจะทำให้ CTR ของคุณสูงขึ้น Quality Score ก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
- ทำ Landing Page ให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า และโฆษณาของเรา
- การใส่ Negative Keyword คัดกรองคำค้นหาที่ไม่เกี่ยวข้องกับโฆษณาของเราออกไป เช่น แคมเปญนี้ทำโฆษณาเพื่อขาย อิฐมวลเบา แต่มีคนค้นหา อิฐมอญ แล้วคลิกโฆษณาทำให้เราเสียตังไป เราจึงต้องใส่ อิฐมอญ เป็น Negative Keyword
4. ใช้การเสนอราคาแบบ ECPC (Enhanced Cost Per Click)
Google Ads นั้นจะมีรูปแบบการเสนอราคาให้เราเลือกด้วย โดยคนส่วนใหญ่ที่ห็น Maximize conversions (เน้นซื้อ เน้นติดต่อเยอะๆ) หรือ maximize clicks (เน้นจำนวนคลิกเยอะๆ) ก็จะรีบเลือก 2 อย่างนี้ทันที
ดูแล้วก็เหมือนจะเป็นตัวเลือกที่ดี เพราะงบน้อยๆ อย่างเราก็หวังที่จะได้ Conversion กันทั้งนั้น แต่!
สิ่งที่เราจะแนะนำก็คือการเสนอราคาแบบ ECPC (Enhanced Cost Per Click)
ECPC (Enhanced Cost Per Click) ดียังไง ?
ECPC เป็นวิธีการเสนอราคาที่จะปรับราคาให้สูงขึ้นเมื่อเจอกับคลิกที่มีแนวโน้มว่าจะเกิดเป็น Conversion เป็นการบริหารเงินของเราให้เหมาะสมที่สุด และจะปรับลดราคาลงเมื่อเจอคลิกที่มีโอกาสซื้อน้อย หรือเจอกับคู่แข่งที่มีทุนสูง (เลือกจ่ายอย่างฉลาด) การเสนอราคาประเภทนี้จะช่วยให้เงินของคุณไม่สูญเปล่า
ต่างกับ Maximize conversions ที่จะปรับการเสนอของเราให้สูงขึ้นตามการแข่งขัน โดยจะไม่เกินงบที่เราตั้งเอาไว้ (มีแค่ไหนก็จ่าย แต่ไม่เกินงบ)
เว็บไซต์ ppchero.com ได้ทดสอบกลยุทธ์การเสนอราคาของ Google Ads เพื่อเปรียบเทียบดูว่า การเสนอราคาแบบไหนจะทำงานได้ดีกว่ากัน
ผลลัพธ์ที่ได้คือ Maximize Click ได้จำนวนคลิกมากที่สุด และสามารถสร้าง Conversion ได้ เมื่อเปรียบเทียบกับ ECPC แม้จะได้คลิกน้อยกว่า แต่สามารถสร้าง Conversion ได้มากกว่า ด้วยงบที่ถูกว่าด้วย
เหมาะกับแคมเปญที่ใช้งบน้อยแบบเราจริงๆ แต่ก่อนที่จะใช้ ECPC ได้ เราต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพื่อให้ โฆษณา Google Ads ของเราได้เรียนรู้ และเพิ่มประสิทธิภาพให้กับแคมเปญของเราเสียก่อน
5. สร้างหน้าเพจเพื่อรองรับโฆษณาโดยเฉพาะ
สิ่งสำคัญที่จะทำให้โฆษณา สามารถสร้างผลลัพธ์ที่ดีได้ก็คือ Landing Page ต้องตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า
สาเหตุที่ให้การทำ โฆษณา Google Ads ไม่ได้ผลนั้น ส่วนใหญ่มาจาก Landing Page (หน้าเพจ) ที่ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่ตอบโจทย์ คลิกเข้ามาแล้วไม่เจอสิ่งที่ลูกค้าต้องการ
ผมอยากให้คุณลองมองในมุมของลูกค้าดูว่า เมื่อคุณเสิร์ชหาสินค้าบน Google แล้วคลิกเข้ามาที่เว็บไซต์.. คุณต้องการเห็นอะไร?
ต้องการเข้ามาดูสินค้าอื่นๆ หรือ ต้องการเข้ามาดูสินค้าที่คุณต้องการ พร้อมข้อมูลที่ช่วยประกอบการตัดสินใจ
ยกตัวอย่างเช่น ผมใช้ Keyword คำว่า อิฐมวลเบา
Landing Page ที่เหมาะสมกับแคมเปญนี้ไม่ใช่หน้าเพจที่มีสินค้าประเภท อิฐ มากมายมาให้ลูกค้าตัดสินใจเลือกซื้อ แต่เป็นหน้าเพจที่บอกว่า อิฐมวลเบาของเรานั้นดียังไง มีความแข็งแรง ทนทาน เหมาะกับการก่อสร้างแบบไหนบ้าง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า และทำให้เขาตัดสินใจซื้อสินค้าของเรา
โฆษณา Google Ads สามารถกระตุ้นยอดขาย และเพิ่มกำไรให้ธุรกิจได้จริง เพียงแค่เราต้องอาศัยการลงทุนบ้าง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีกลับคืนมา
น่าเสียดายที่หลายคนพลาดโอกาสดีๆ แบบนี้ไปเพราะไม่อยากเสียเงิน หรือกลัวขาดทุน
แต่บทความนี้ก็ทำให้คุณได้เห็นแล้วว่า ไม่ว่าคุณจะมีงบประมาณน้อยแค่ไหน คุณก็สามารถทำ โฆษณา Google Ads เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ดีได้ เพียงแค่..
- กำหนดงบประมาณเท่าที่จ่ายไหว
- เลือกใช้ Keyword ที่เฉพาะเจาะจง
- สร้าง Ad Group สำหรับ 1 Keyword เท่านั้น
- ใช้งานเสนอราคาแบบ ECPC
- และรองรับลูกค้าด้วยหน้าเพจที่ตอบโจทย์
เท่านี้คุณก็สามารถทำ โฆษณา Google Ads ได้แล้ว ด้วยต้นทุนแค่ “นิดเดียว”